วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความผิดพลาดในการเลือกหุ้น

ถ้าจะถามคนที่มีประสบการณ์การลงทุนมายาวนาน คงจะไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยเลือกหุ้นผิด การเลือกหุ้นผิดของแต่ละคน ก็แตกต่างกันไปตามความสามารถ ลักษณะนิสัยของคนนั้นๆ เท่าที่ผมได้สังเกต ความผิดพลาดในการเลือกหุ้นน่าจะแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ ประการที่หนึ่ง ความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการเลือกซื้อหุ้นที่คิดว่าดีไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ดีอย่างที่คิด เมื่อเวลาผ่านไปจึงจะรู้ความจริง ซึ่งอาการที่มักจะสังเกตุได้ของความผิดพลาดประเภทนี้คือ "ติดดอย" และประการที่สอง ความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการเลือกที่จะไม่ซื้อหุ้น หรือขายหุ้นที่คิดว่าไม่ดี แต่แท้ที่จริงแล้วหุ้นตัวนั้นกลับกลายเป็นหุ้นที่ดีมาก ซึ่งอาการที่มักจะสังเกตุเห็นได้คือ "ตกรถ"
ความผิดพลาดทั้งสองอย่างนั้นล้วนไม่ส่งผลดีต่อผลการลงทุนของเรา หลายๆคนพยายามที่จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดทั้งสองอย่าง จนไม่ได้ตระหนักว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทั้งสองอย่างพร้อมๆกันได้ ในชีวิตจริงเราจะต้องเลือกว่าเรายอมจะเกิดความผิดพลาดแบบไหนขึ้น แต่ความผิดพลาดอันไหนล่ะที่รุนแรงกว่า และเราจะทำอย่างไรเพื่อลดความผิดพลาดนั้น

ในความเป็นจริงแล้ว ความผิดพลาดจากการเลือก หรือตัดสินใจ มีให้พบเห็นกันทั่วไปในชีวิตประจำวัน ถ้าจะยกตัวอย่างให้ชัดเจน ก็คงเป็นการพิพากษาตัดสินในศาล หากเราลองเปรียบเทียบการเลือกหุ้นกับการตัดสินพิพากษาในศาล การเลือกซื้อหุ้นที่คิดว่าดี แต่ที่จริงเป็นหุ้นที่ไม่ดี ก็คงเปรียบได้กับการตัดสินว่าคนที่มีความผิดจริงนั้นบริสุทธิ์ และความผิดพลาดจากการเลือกที่จะไม่ซื้อหุ้นที่ดีไว้ ก็คงเปรียบได้กับการตัดสินจำคุกคนบริสุทธิ์

ข้อเสียของการติดสินผิดทำให้คนดีต้องติดคุกคือ มีคนบริสุทธิ์ต้องมาถูกลงโทษทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเอง ครอบครัวของเขาก็อาจจะต้องลำบากหรือทุกข์ใจไปด้วย ส่วนการตัดสินให้คนชั่วหลุดพ้นความผิดนั้น ก็มีข้อเสียเช่นกัน คือคนที่ทำชั่วไม่ถูกลงโทษ และอาจจะออกไปสร้างความชั่วให้กับคนในสังคมภายนอกได้รับความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นอีก ในสังคมเรานั้นยอมรับ เห็นพ้องต้องกันว่าการตัดสินผิด ทำให้คนที่บริสุทธิ์ต้องได้รับโทษความผิดนั้นเป็นเรื่องที่รุนแรงกว่าการปล่อยคนชั่วลอยนวล จึงเป็นที่มาของรูปแบบการพิจารณาคดีทุกวันนี้ ที่ในเบื้องต้นจะถือว่าจำเลยทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากความผิด และหากไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาชัดเจนพอ ก็จะไม่สามารถเอาผิดกับจำเลยได้ ในทางตรงกันข้ามกัน หากสังคมใดเห็นว่าการปล่อยคนชั่วออกมาลอยนวลนั้นร้ายแรงกว่าการลงโทษคนดีแล้ว สังคมนั้นก็จะใช้หลักการพิจารณาความผิด โดยมีสมมุติฐานเบื้องต้นว่าทุกคนที่โดนกล่าวหาว่าผิดนั้นมีความผิดจริง และหากต้องการพ้นข้อกล่าวหา จะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ถ้าหลักฐานนั้นไม่เพียงพอ ก็จะต้องได้รับโทษ

กลับมาสู่เรื่องการลงทุน และการตัดสินใจเลือกซื้อหุ้น โดยถ้าจะพิจารณาความผิดพลาดทั้งสองลักษณะคือ การซื้อหุ้นไม่ดี กับการไม่ได้ซื้อหุ้นดีนั้น จะพบว่าในทุกๆการตัดสินใจซื้อหุ้นนั้นเราจำเป็นต้องเลือกว่ายอมที่จะเกิดความผิดพลาดแบบไหนขึ้น เช่นเราอาจจะพบหุ้นตัวหนึ่งซึ่งเราพบว่ามี Upside มากเหลือเกิน ในขณะเดียวกันเราก็เห็นว่ามีความไม่แน่นอนบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับผลประกอบการของบริษัทได้และทำให้เสียหายมากมายได้ เมื่อเราพิจารณาหุ้นตัวนี้ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี เราก็ต้องเลือกระหว่างยอมซื้อผิด หรือยอมเสียโอกาสซื้อหุ้นที่ดี การซื้อหุ้นไม่ดีมีข้อเสียคือเราอาจจะขาดทุนได้จากราคาที่ตกต่ำลงไป ส่วนการพลาดไม่ได้ซื้อหุ้นที่ดีไว้นั้น มีข้อเสียคือเราจะไม่ได้กำไรจากการขึ้นแรงๆของหุ้นตัวนั้น

ถ้าถามนักลงทุนทั่วไป ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงจะมองเหมือนกันคือ เสียดายดีกว่าเสียใจ นั่นคือ ไม่ได้กำไรไม่ว่า แต่ขออย่าให้ขาดทุนเลย เหมือนกับกฎการลงทุนที่สำคัญที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยบอกไว้ว่า "จงอย่าขาดทุน"
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หลักการนี้ไม่ได้ทำง่ายๆอย่างที่คิด เพราะถ้ามองหุ้นอยู่ 2 กลุ่ม คือ หนึ่ง หุ้นที่เป็นที่นิยม ธุรกิจกำลังโตอย่างรวดเร็ว แต่มีความเสี่ยงบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้กับธุรกิจ ที่ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นไม่มากนัก แต่ถ้าเกิดแล้วก็จะกระทบกับมูลค่าของบริษัทอย่างรุนแรง หรือเป็นบริษัทที่เรามองอนาคตไปอีก 3-5 ปีข้างหน้าไม่ชัดเจน มีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และบางทีหุ้นของบริษัทเหล่านี้ก็ประเมินหามูลค่าที่เหมาะสมยากจนบางทีเราก็กะประมาณ P/E ตามความรู้สึกของเราเอง และหลายๆครั้ง ด้วยความรักหุ้นเป็นทุน เราก็มักจะให้ P/E ที่สูงเกินไปโดยไม่รู้ตัว
ส่วนหุ้นกลุ่มที่สอง เป็นหุ้นที่คนไม่ค่อยนิยมซื้อขายกันมากนัก ปริมาณซื้อขายต่อวันมักจะไม่ติดหนึ่งในสิบของตลาด แต่ว่ามีการเติบโตสม่ำเสมอเกือบทุกปี มีประวัติที่ดีอย่างยาวนาน อาจจะไม่ก้าวกระโดดมากนัก แต่ก็เติบโตไม่น้อยกว่า 15% ต่อปี ธุรกิจมีความแน่นอนสูง และคาดการณ์อนาคตของธุรกิจได้ค่อนข้างชัดเจน ผู้บริหารไว้ใจได้ และสามารถประเมินมูลค่าของกิจการได้ไม่ยากนัก

ผมสังเกตุเห็นว่า คนจำนวนมากมักจะเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มที่หนึ่งมากกว่า เพราะมักจะเลือกมองไปที่ Upside มากกว่าที่จะมอง Downside ถึงแม้ว่าหุ้นในกลุ่มที่สองจะสร้างผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอนกว่า แต่ก็ไม่ดึงดูดใจมากพอ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะเสี่ยงมากขึ้นแลกกับผลตอบแทนคาดหวังที่สูงขึ้น และในที่สุดก็จะมีคนจำนวนมากที่ขาดทุน ทั้งๆที่ได้ศึกษาข้อมูลบริษัทมาอย่างดี แต่ผิดพลาดจากการเลือกตัดสินใจ

1 ล้านบาทแรกในชีวิต

มีคำกล่าวจากคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาเป็นเศรษฐีหลายๆคนว่า "เงิน 1 ล้านบาทแรกนั้นเป็นเงินก้อนที่หามาด้วยความยากลำบากมากที่สุด ยากกว่าการหาเงินอีกหลายสิบหลายร้อยล้านบาทในเวลาต่อมา"

วันนี้ผมตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะรู้สึกดีใจ ภูมิใจว่าในที่สุด หลังจากทำงานมาเป็นเวลาถึง 10 ปี ก็สามารถมีพอร์ทลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในชีวิต (ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้หุ้นจะมีราคาลงไปบ้างก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่ามีเงินล้านแล้วในวันนี้ อิอิ  :D ) และหวังว่าประสบการณ์ชีวิตผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคนมีความพยายามในการไปให้ถึงเป้าหมายในอนาคตต่อไป

บางคนอาจจะรู้สึกว่าเงิน 1 ล้านบาทนั้นหามาได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับผมแล้ว มันช่างเป็นจำนวนเงินที่มากมายเหลือเกิน ผมมาจากฐานะทางบ้านที่ไม่ดีนัก เรียนหนังสือก็อาศัยทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน มาตลอด แม่ก็เข็นรถเข็นขายข้าวแกงมีรายได้ไม่มากนัก ผมได้เงินไปเรียนมหาวิทยาลัยวันละ 50 บาท พอเรียนจบมาได้ไม่นาน แม่ก็หยุดขายข้าวแกงเพราะไม่ไหว ผมกับพี่และน้องชายต้องช่วยกันรวมเงินมาไว้ให้แม่ทุกเดือน ทำงานครั้งแรกเงินเดือน 15,000 บาท ผมให้แม่เดือนละ 10,000 บาททุกเดือน ใช้เอง2-3 พันบาท เหลือเก็บเดือนละ 2 พันบาท และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะมีวันที่มีเงิน 1 ล้านบาทได้

ผมเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว (ปี 2002) ตอนนั้นผมทำงานเป็นวิศวกรได้ประมาณ 2 ปี ตอนนั้นเล่นไปตามบทวิเคราะห์ ได้บ้างเสียบ้าง จนเมื่อผมทำงานมาได้ 5 ปี (ปี 2005) ผมก็ตัดสินใจไปทำงานเป็น มาร์เก็ตติ้ง โดยมีความเชื่อว่าถ้าเป็นคนเคาะซื้อเคาะขายหุ้นด้วยตัวเอง น่าจะสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ 5 แสนบาทได้ รวมกับเงินที่พี่ชายฝากมาเล่นหุ้นด้วยอีก 2 แสน รวมเป็นเงิน 7 แสนบาท

หลังจากทำงานมาร์เก็ตติ้งมา 1 ปีเต็ม จนถึงสิ้นปี 2005 ในที่สุดผมก็หมดตัว เนื่องจากเล่นไปตามอารมณ์เหมือนการพนัน เล่นหนักๆเกินตัว ต้องไปขอยืมเงินพี่ชายเพิ่มมาอีกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน พี่ชายผมพอรู้ว่าเงิน 2 แสนของพี่สูญไปหมด ก็โกรธผมอย่างมาก ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยดีๆในครอบครัวต้องเลวร้ายลงอย่างมาก

ผมลาออกจากมาร์เก็ตติ้งมาทำงานเป็นวิศวกรในโรงงานอีกครั้ง และห่างหายไปจากตลาดหุ้นในช่วงปี 2006-2008 แต่ก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ จนถึงช่วงที่ตลาดหุ้นตกหนักในปลายปี 2008 ผมก็เริ่มเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นบาทมาลงทุนในช่วงมกราคม 2009 แล้วก็เอาเงินเดือนที่เก็บเพิ่มได้ในแต่ละเดือนอีกประมาณเดือนละหมื่นบาทไปลงทุนเพิ่มทุกเดือน เนื่องจากผมรู้สึกเข็ดกับอดีตอันเลวร้ายของผม ผมจึงตั้งใจศึกษาและค้นหาวิธีการลงุทนที่เป็นหลักการจนมาพบเวบไซต์ของคุณโย (yoyo) เมื่อได้อ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่แนวทางที่ถูกต้อง แล้วผมก็มารู้จักหนังสือของ ดร.นิเวศน์ และเวปไซต์แห่งนี้ในภายหลัง โดยเฉพาะที่สำคัญที่สุด ผมได้มารู้จักสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก คือดอกเบี้ยทบต้น ผมนั่งคำนวณด้วย Excel นั่งคำนวณทั้งวันโดยเปลี่ยนตัวเลขไปเรื่อยๆ แล้วก็เหมือนดวงตาเห็นธรรม เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้รู้และมั่นใจว่าผมเจอหนทางที่จะมีเงินได้ถึงร้อยล้านพันล้านในชีวิตของผมได้

ผมจะเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าผิดพลาดอีก อย่าขาดทุนเด็ดขาด ดังนั้นผมจึงค่อยๆพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ โดยในตอนต้นปี 2009 ผมจะลงทุนในหุ้นที่รู้สึกว่าตกต่ำลงมามาก แต่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสถัดไปน่าจะดีอยู่ พอถึงกลางปี 2009 ผมก็เริ่มเปลี่ยนมุมมอง คือมองหาบริษัทที่คิดว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะมั่นใจได้ว่าผลประกอบการจะต้องดีขึ้นอย่างโดดเด่น จนมาถึงตอนนี้ ผมจะเลือกลุงทุนในบริษัทที่ผมคิดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าผลประกอบการก็จะมั่นใจได้แน่ว่าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน อาจจะไม่ได้ก้าวกระโดดมากมาย แต่เติบโตต่อเนื่องทุกปี อย่างน้อย 15% ต่อปี และผมจะคิดถึคงกรณีที่เลวร้ายสุดไว้เสมอ ว่าหากมีปัญหาการเมือง หรือวิกฤติการเงินจะส่งผลอะไรต่อบริษัทหรือไม่ ผมจะเลือกบริษัทที่มีภูมิต้านทานสูง เสมือนมาอยู่หอพัก หรือคอนโดสูงแล้วมองหาประตูหนีไฟเอาไว้ก่อน

ผมตั้งเป้าระยะยาวไว้กับตัวเองจนถึงอายุ 60 ปี ทำเป็น Grant chart เอาไว้ว่าแต่ละปีจะมีทรัพย์สินมูลค่าเท่าไร ผมคาดหวังไว้ที่ 18% ต่อปี ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่าย ผมจะมีเงินประมาณ 100 ล้านบาทเมื่อมีอายุประมาณ 55 ปี ซึ่งเป็นปีที่ผมตั้งใจว่าจะตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคมซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของผมมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย

จากประสบการณ์ของผม ยามที่ผมโลภ ไม่รู้จักพอ หวังรวยเร็ว ผมจะขาดทุนอย่างหนัก แต่ยามที่ผมรู้จักพอ ไม่หวังรวยเร็ว กลับมีกำไรมากกว่าที่คาด มันเป็นสัจธรรมสำหรับชีวิตผม ผมเรียนรู้ว่าในตลาดหุ้น จิตใจสำคัญกว่าความรู้มากยิ่งนัก