วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

แผนการชีวิตของผม

คนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องเริ่มที่การตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จคนใดที่ไม่มีเป้าหมายชีวิต
ถ้า คุณมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน คุณก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จและก็มีโอกาสจะล้มเหลว แต่ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายในชีวิตแล้ว คุณจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้เลย

เป้าหมายที่ผมพูดถึง ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง แต่เป้าหมายในชีวิตควรจะเป็นสิ่งที่เราจะมีความสุข การตั้งเป้าหมายในชีวิตนั้นอาจจะเป็นการทำประโยชน์ให้สังคม การได้ทำสิ่งที่รัก การได้ท่องเที่ยวทั่วโลก หรืออื่นๆ สำหรับผมแล้ว เป้าหมายในชีวิตคือการได้ทำให้คนรอบข้างมีความสุข การได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมสูงสุด และการได้ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้ได้มากที่สุด นี่ล่ะเป้าหมายของผม

ผม มีความใฝ่ฝันหนึ่งที่อยากจะทำมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย จนถึงตอนนี้ก็ยังมีความฝันเช่นนี้อยู่ ความใฝ่ฝันที่ว่าก็คือ การได้ตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม อาจจะเป็นเด็ก คนชรา ผู้พิการ หรือคนยากจน ทุกๆครั้งที่ผมเห็นเด็กด้อยโอกาส เห็นภาพข่าวคนยากจนค้นแค้น คนที่ลำบากในสังคม ทำให้ผมนึกถึงย้อนไปถึงตัวเองตอนเด็กๆ ชีวิตวัยเด็กผมนั้นยากจน อยู่อย่างลำบาก ใส่เสื้อผ้าแบบเก่าๆขาดๆ รองเท้าไม่ใส่ มอมแมม ไม่มีเงินซื้อขนมกิน

ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ ผมมีชีวิตที่ดีขึ้น และผมก็เชื่ออย่างไม่สงสัยเลยว่าพระองค์จะนำผมไปสู่เป้าหมายในชีวิตของผมได้

แน่ นอนเงินไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตผม แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความฝันและเป้าหมายของผมเป็นจริง เงินเป็นทางผ่านไปสู่เป้าหมาย เงินนั้นจำเป็น หากผมตั้งมูลนิธิแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาช่วยเหลือคนอื่นจำนวนมากๆ การลงแรงลงมือช่วยเหลือด้วยตัวเราเองก็ช่วยทำให้สังคมดีได้ แต่คงจะไม่มากพอ ผมบอกกับตัวเองว่าถ้ามีองค์กร มีมูลนิธิก็คงจะดี และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมต้องมาวางแผนชีวิต และกำหนดหลักไมล์ชีวิตเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

ผมมาลองคิดดูว่าจะตั้ง มูลนิธิควรจะมีเงินอย่างน้อยสักเท่าไหร่ดี ผมกะตัวเลขอย่างคนไม่มีประสบการณ์ว่าคงจะต้องมีอย่างน้อยสัก 100 ล้านบาท หลักไมล์ย่อยๆของผมจึงถูกกำหนดด้วยปริมาณเงินที่ผมจะต้องมีให้ได้ในแต่ละปีๆ ในต้นปี 2552 ผมเริ่มต้นสร้างตารางวางแผนเป้าหมายเงินที่จะมีในแต่ละปีตามตารางข้างล่าง โดยตอนนั้นผมมีเงินไม่ถึงแสนบาท หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือ ศึกษาหาความรู้มาอย่างหนัก ทำให้ผมเข้าใจถึงพลังของดอกเบี้ยทบต้น ผมคิดว่าถ้าผมนำเงินมาลงทุนในหุ้นอย่างมีความรู้ และไม่ใช้อารมณ์ ผมน่าจะได้ผลตอบแทนประมาณ 15% ต่อปี แต่ผมก็อยากพยายามให้ได้มากกว่านั้น ผมจึงตั้งเป้าหมายเงินในแต่ละปีด้วยผลตอบแทนที่ 18% ต่อปี และเมื่อรวมกับเงินเดือน เงินโบนัสที่จะมาเติมในแต่ละปีแล้ว ผมก็สามารถมาคำนวณวางแผนว่าผมจะมีเงินเท่าไรในแต่ละปี

ผมจำได้ดีใน วันที่ผมมีเงิน 1 ล้านบาทแรกในชีวิต วันนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมก้าวมาได้อีกขึ้นหนึ่งแล้วที่จะทำให้ผมไปสู่เป้า หมายในชีวิตของผม ผมเชื่อว่าเงิน 1 ล้านบาทแรกนั้นเป็นเงินก้อนที่หามาได้ยากที่สุด เมื่อเรารู้วิธีหาเงินมาได้ 1 ล้านแรก เงินล้านต่อๆมาก็จะตามมา ซึ่งผมก็เคยโพสต์เล่าประสบการณ์ 1 ล้านบาทแรกของผมมาแล้วเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2010 ที่ผ่านมาตามลิงค์ viewtopic.php?t=42375

จน ถึงวันนี้ เดือนกันยายน2554 ผมมีเงินเลยเป้าหมายในปีนี้ไปมากแล้ว มากจนเลยไปถึงเป้าหมายในปี 2557 แต่นี่ก็ยังคงเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของผมเท่านั้น ในอนาคตเป็นไปได้ว่าบางปีอาจจะมีผลตอบแทนติดลบก็ได้ ดังนั้นผมจึงยังคงยึดแผนการชีวิตนี้ต่อไป ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 18% ต่อปี ซึ่งจากแผนผมน่าจะออกจากงานประจำไปทำงานที่ไม่หวังรายได้ ได้ในปี 2568 เมื่อผมอายุ 46 ปี และจากการคำนวณผมน่าจะมีเงินถึง 100 ล้านบาทและตั้งมูลนิธิได้ภายในปี 2578 เมื่อผมมีอายุประมาณ 56 ปี

สิ่ง สำคัญนอกเหนือไปจากการไปสู่เป้าหมายแล้ว การใช้ชีวิตระหว่างการเดินทางก็ต้องมีความสุข คนที่จะประสบความสำเร็จได้เพราะถึงแม้เขาจะมองไปที่เป้าหมาย แต่เขาเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างมีความสุขมากกว่า เป็นที่น่าแปลกมากที่ผมได้ยินเรื่องราวการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์มา ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางขึ้นไป ในคนกลุ่มนี้มีอดีตทหารที่แข็งแรงคนหนึ่ง เขาเดินทางไปพร้อมๆกับนักบวชแก่ๆอีกหลายคน อดีตทหารคนนี้มีความมุ่งมั่นที่จะพิชิตยอดเขามาก และพยายามปีนเขา เดินทางไปให้ถึงยอด แต่เมื่อเดินทางไปได้เพียงครึ่งทางปรากฏว่าอดีตทหารคนนี้กลับไปต่อไม่ไหว และยอมแพ้ในที่สุด
แต่นักบวชแก่ๆเหล่านั้นกลับสามารถขึ้นไปสู่ยอดเขาได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะนักบวชเหล่านี้มีความสุขในทุกๆย่างก้าวของการเดินทาง เขาชื่นชมธรรมชาติ เขาไม่รีบร้อนปีนเขา เพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆรอบตัว และนั่นทำให้เขาไปถึงจุดหมายปลายทางได้

แต่ความสุขของแต่ละคนก็แตก ต่างกันไป ซึ่งความสุขของผมไม่ได้อยู่ที่การกินของแพงๆ ไม่ได้อยู่ที่การใช้ของแพงๆ ผมไม่มีรถยนต์ ใช้มือถือราคาไม่ถึงพันบาท แต่ผมก็มีความสุข เพราะความสุขของผมคือการใช้เงินอย่างรู้คุณค่า ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายธรรมดาๆ และทำให้คนรอบข้างมีความสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น